สำนักข่าวบลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า ผู้ผลิตนาฬิกาหรูสัญชาติสวิสที่เผชิญกับการขึ้นราคา การแพร่ระบาดโควิด-19 และเงินเฟ้อพุ่งสูงในรอบหลาย 10 ปี กังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามนาฬิกาหรูตัวใหม่ นั่นคือ “เงินฟรังก์แข็งค่า”
บรรดาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) แบรนด์นาฬิกาหรูระดับกลางหรือแบรนด์หรูราคาย่อมเยาว์ รวมถึงแบรนด์ Oris, Doxa และ Maurice Lacroix บอกว่า กำไรจากการขึ้นราคาสินค้าปีก่อนหายไป เพราะมูลค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงสู่ระดับประมาณ 0.88 เซนต์ต่อฟรังก์ในปี 2565
“รอล์ฟ สตูเดอร์” ซีอีโอร่วมของแบรนด์ Oris SA เจ้าของนาฬิการุ่น ProPilotX Kermit ในธีมหุ่นเชิดมัพเพทส์ มูลค่า 4,400 ฟรังก์ บอกว่า “เงินฟรังก์แข็งค่าที่ 0.88 เซนต์ต่อฟรังก์สวิสก็เป็นปัญหาแล้ว ถือว่าสูญเสียเงินมูลค่ามาก เมื่อสหรัฐคือตลาดลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดของคุณ”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่านาฬิกา Oris และแบรนด์อื่น ๆ จะสบายใจหายห่วงเร็ว ๆ นี้ เพราะความเสี่ยงของเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ อีกทั้งธนาคารกลางสวิส คาดว่ายังคงอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หรืออาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เงินฟรังก์ยังคงแข็งค่าต่อไปในอีกสองสามเดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ นาฬิกาสวิสส่วนใหญ่จำหน่ายในสหรัฐ เอเชีย และยุโรปตะวันตก ทำให้ค่าเงินผันผวนเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อผลประกอบการของอุตสาหกรรมนาฬิกาหรู ขณะเดียวกัน ความต้องการนาฬิหาหรูลดลง จากเดิมที่มีความต้องการระดับสูงสุดในช่วงแพร่ระบาดโควิด-19
ในเดือน ก.ค. ผู้ส่งออกนาฬิกาหรูสัญชาติสวิสเผย รายได้ลดลงทุกเดือนเป็นครั้งแรกในรอบมากกว่า 2 ปี เนื่องจากจัดส่งไปยังจีนลดลงมาก และการส่งออกไปยังสหรัฐก็ชะลอตัวลง
แม้ความต้องการนาฬิกาหรูลดลง แต่ผู้ผลิตนาฬิกาหลายรายอาจต้องขึ้นราคาเพิ่ม เพื่อชดเชยผลขาดทุนจากเงินฟรังก์ที่แข็งค่า
ด้านแบนด์ Doxa ขึ้นราคาในยุโรปเมื่อปีก่อน เพื่อชดเชยเงินยูโรที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินฟรังก์ แต่ไม่ขึ้นราคาในสหรัฐ เพราะต้องรักษาระดับนาฬิการุ่นเริ่มต้นให้ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์