April: ประเมินภาพ SET Index ยังคงอยู่ในช่วงของการทดเวลาบาดเจ็บ หรือการต่อ เวลาการเล่น จากปัจจัยทางด้านสภาพคล่องที่ยังคงเอ่อล้น โดยเฉพาะสภาพคล่องใน ประเทศ หลังล่าสุดเมื่อวานนี้ธปท.รายงานตัวเลข M2 ประจําเดือนก.พ.ปรับตัวสูงขึ้น ต่อเนื่องมาอยู่ที่ 23 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตถึง 10% YoY (รูปที่ 1) ซึ่งเรา คาดว่าปัจจัยนี้จะทาให้การมีส่วนร่วมของนักลงทุน Retail ในตลาดคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งนั่นหมายถึงว่า กลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็กมีโอกาสที่จะปรับตัว Outperform หุ้นขนาด ใหญ่ได้ต่อไปในระยะสั้น

ประเมินภาพรวมตลาด SET Index

Theme: ทั้งนี้ ในส่วนของ Valuation ตลาดหุ้นไทยนั้น ยังคงอยู่ในระดับที่สูงตามเดิม โดยหากด Risk premium ในตลาดล่าสุด พบว่าอยู่ที่ระดับ 3.3%% ต่ากว่าค่าเฉลี่ยที่ 4.0% (รูปที่ 2) บ่งชีว่าความคาดหวังเชิงบวกได้อยู่ในราคาไปพอสมควรแล้ว ด้วยเหตุ นี้กลยุทธ์การลงทุนของเราในเดือนเมษายน ยังคงแนะน่าเป็นลักษณะของการ Selective ไปยังธิมการลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งเราแบ่งออกเป็นดังนี้

1) กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากธีม Reopening แต่จะต้องมี Valuation ที่ยังถูกอยู่

อาทิ กลุ่มปั้มน้ํามัน ได้แก่ OR, PTG และกลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ BDMS, BCH, IMH

2) กลุ่มหุ้นส่งออกที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการอ่อนค่าของเงินบาท อาทิ กลุ่มยานยนต์ ได้แก่ AH กลุ่มอาหาร ได้แก่ CPF, TU

3) กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะรายงานผลกําไรไตรมาส 1/64 ออกมาเติบโตทั้ง YoY และ QoQ พร้อมทั้งยังซื้อขายด้วย Dividend yield อยู่ในระดับสูงเกินกว่า 3% ขึ้นไป leuni ADVANC, EGCO, PTT (BK:PTT), QH, SCC

4) หุ่นที่คาดว่าจะถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี MSCI Thailand standard index ประจําารอบ เดือนพ.ค.นี้ ได้แก่ SCGP

5) หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี SET50 ที่จะมีผลบังคับใช้ในรอบครึ่งปีหลังนี้ ได้แก่ STGT, IRPC, STA

Factors: สําหรับปัจจัยที่น่าติดตามในวันนี้ ได้แก่

1) การประชุมร่วมของกลุ่ม OPEC+ โดยเริ่มมีกระแสข่าวว่าซาอุฯพยายามผลักดัน

สมาชิกในกลุ่มให้มีการยืดอายุการลดกําลังการผลิตที่ระดับวันละ 7 ล้านบาร์เรล ออกไปอีกถึงเดือนมิถุนายน จากเดิมที่จะสิ้นสุดเดือนมิถุนายน รวมถึงการต่ออายุ การลดกาลังการผลิตแบบสมัครใจของตนเองอีกวันละ 1 ล้านบาร์เรลด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี ข่าวดังกล่าวกลับไม่ได้สร้างแรงหนุนต่อราคาน่ามันดิบในตลาดที่มีการ ย่อตัวลงเล็กน้อยจากความกังวลทางด้านอุปสงค์ที่อาจลดลงจากการกลับมาใช้มาตรการ Lockdown ในหลายๆประเทศ

2) รายงานตัวเลข PMI ภาคการผลิตของยุโรปและ ISM ภาคการผลิตของสหรัฐฯประจําเดือนมี.ค. ซึ่งล่าสุดตลาดคาดทรงด้วนะดับสูงที่ระดับ 62.4 และ 61.5 ตามล่าดับ U.S. Stimulus: การแถลงรายละเอียดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯฉบับใหม่ 2 ล้าน ล้านเหรียญฯโดยปธน.โจ ไบเดนเมื่อคืนนี้ไม่ได้สร้าง Impact ที่มีนัยสําคัญต่อตลาด หุ้นมากนัก ถึงแม้ว่าจะเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ท่าให้ Bond yield สหรัฐฯปรับสูงขึ้นท่า จุดสูงสุดใหม่ โดยรุ่นอายุ 10 ปีขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1.7%% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ มีปัจจัยที่จะต้องจับตาในช่วงถัดไปก็คือ วิธีการจัดหาแหสิ่งเงินทุนของเม็ดเงินใน แพ็คเกจนี้ ว่าจะมีการจัดหาผ่านการเก็บขึ้นภาษีต่างๆ อาทิ ภาษีนิติบุคคลด้วยหรือไม่ หลังจากที่นายไบเดนได้เปรยๆออกมาแล้วเมื่อคืนนี้ว่าภาษีดังกล่าวอาจมีการขยับขึ้น จาก 21% มาเป็น 28%% รวมไปถึงการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อบริษัทข้ามชาติที่มีรายได้ จากการดาเนินธุรกิจในต่างประเทศ หากประเต้นการเก็บภาษีนี้มีความชัดเจนมาก ขึ้นเท่าไหร่ มองจะเป็นปัจจัยกดดันกําไรและราคาของหุ้นของตลาดสหรัฐฯ ในช่วงถัดไปได้

บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities