แน่นอนว่าทุกๆ คนคงคาดหวังว่า สกุลเงินดิจิทัล (CRYPTO CURRENCY) เช่น บิตคอยน์ (BITCOIN) จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบการเงินแบบเดิม หรือ Centralized Financial (CeFi) นั่นคือ ระบบการเงินที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เช่น ธนาคารพาณิชย์ (Bank) และไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (non-bank) โดยมีการกำกับดูแลหรือควบคุมจากรัฐบาล หรือ ธนาคารกลางของแต่ละประเทศที่มีการควบคุม และแทรกแซงจากหน่วยงานต่างๆ
ยกตัวอย่างเช่น หากรัฐบาลต้องการให้ค่าเงินของประเทศแข็งค่ามากขึ้นก็สามารถทำได้โดยการซื้อค่าเงินของประเทศตัวเองกลับเข้ามาภายในระบบให้มากขึ้น
หรือ การที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศนั้นๆ มากขึ้น ก็ทำให้สกุลเงินของประเทศนั้นๆ เป็นที่ต้องการมากขึ้น จึงทำให้ความต้องการซื้อ (demand) มีเพิ่มขึ้นจนทำให้ค่าเงินเริ่มปรับราคาขึ้น
รวมถึงในกรณีที่เราต้องการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น การโอนเงินไปต่างประเทศ เราจะต้องนำเงินไปให้กับธนาคารต้นทางซึ่งมีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเกิดขึ้น อีกทั้งอัตราค่าธรรมเนียมในการโอนของแต่ละประเทศก็แตกต่างกันออกไป จนไปถึง ผู้รับเงินหรือ ธนาคารปลายทาง และระยะเวลาในการทำธุรกรรม ซึ่งแน่นอนก็ยังคงมีค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บอีก จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสกุลเงินภายใต้ระบบ CeFi นั้นสามารถควบคุมทิศทางของราคา และเกิดค่าใช้จ่ายจากการผ่านตัวกลางขึ้นอีกหลายทอด
สกุลเงินดิจิทัลจึงมีเป้าหมายที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยระบบ Dentralized Financial นั่นก็คือระบบที่ตรงข้ามกับ Cefi นั่นเอง เป็นการตัดตัวกลาง อย่างธนาคารพาณิชย์ และการกำกับดูแลจากหน่วยงานต่างๆ ออกไป โดยการใช้ระบบ Bloack chian คือ เทคโนโลยีการเก็บข้อมูลต่างๆ ที่เรียงต่อกันไปเรื่อยๆ คล้ายกับโซ่ (Chian) โดยทุกคนจะรับรู้ว่าใครคือเจ้าของธุรกรรม โดยเฉพาะในกลุ่ม Fintech มีการนำเทคโนโลยี Blockchian เข้ามาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย ร่วมกับระบบ Smart Contract คือระบบที่นำเอาสัญญาเข้ามาช่วยจัดการในการทำธุรกรรมทำให้ง่าย รวดเร็ว ปลอดภัยมากขึ้น โดยการนำมาเขียนเป็น code ในคอมพิวเตอร์
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็จะทำให้เรื่องของการทำธุรกรรมการเงินเช่น โอนเงิน ฝากเงิน กู้เงิน เหล่านี้มีค่าธรรมเนียมที่ถูกลง และใช้เวลาน้อยลงอย่างมหาศาล จนสามารถเข้ามาปฏิวัติโลกการเงินให้ดียิ่งขึ้น
แม้ว่าสกุลเงินดิจิทัล จะกลายเป็นสินทรัพย์ทดแทน หรือสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ คือมีคุณสมบัติ
– คงสภาพตามกาลเวลา
– ขนย้ายได้
– แบ่งเป็นหน่วยย่อยได้
– ระบุเจ้าของได้
จะเห็นได้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Crypto Currency มีสมบัติที่คล้ายกับทองคำ จึงทำให้สกุลเงินดิจิทัล เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการลงทุน หรือสินทรัพย์ทางเลือกนั่นเอง
แต่เราจะเห็นตัวอย่างจากหลากหลายประเทศที่มีการใช้ Crypto ในการแลกเปลี่ยนอย่างถูกกฏหมายแล้วเช่น ประเทศเอลซัลวาดอร์ ที่สามารถโอนเงิน ชำระหนี้ รวมไปถึงการตั้งราคาสินค้าใน ซูเปอร์มาร์เก็ตเป็น Bitcoin ได้
แต่ในขณะเดียวกันประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน กำลังเดินหน้าแบนการใช้สกุลเงินดิจิทัล เช่น การไม่ให้สถาบันการเงินใดๆ ของจีนให้บริการด้านสกุลเงินดิจิทัล หรือการให้ยกเลิกการขุดเหมือง Bitcoin และ Crypto Currency อื่นๆ กันอย่างจริงจรัง ที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ว่า
ยิ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาราคา Crypto Currency ปรับลงมาอย่างมีนัยยะ รวมถึงการที่จีนออกมาประกาศจุดยืนในเรื่องการแบน Crypto currency แบบนี้ถือได้ว่ามีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางของสกุลเงินดิจิทัล
ต้องมาจับตาดูกันว่า อนาคตของ สกุลเงินดิจิทัลจะเป็นอย่างไร จะสามารถก้าวผ่านความผันผวน และเข้ามาปฏิวัติโลกการเงินได้จริงหรือไม่